หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด คืออะไร
หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด หรือ Robotic Assisted Surgical System(RAS) เป็นระบบหุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ศัลยแพทย์ ทำการผ่าตัดได้แม่นยำยิ่งขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น RAS ประกอบด้วยแขนหุ่นยนต์ที่ควบคุมโดยศัลยแพทย์จากคอนโซลที่อยู่ไกลออกไป แขนหุ่นยนต์สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยให้ศัลยแพทย์สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่เข้าถึงยากและทำการกรีดขนาดเล็กลงได้ นอกจากนี้ RAS ยังช่วยเพิ่มการมองเห็นของศัลยแพทย์โดยให้ภาพของพื้นที่ผ่าตัดแบบ 3 มิติ ทั้งหมดนี้ช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ของการผ่าตัดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด(Robotic Surgery)
หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด(Robotic surgery) ถูกนำมาใช้ในการผ่าตัดหลายประเภท รวมถึงการผ่าตัดต่อมลูกหมาก การผ่าตัดกระดูก การผ่าตัดหัวใจ และการผ่าตัดสมอง หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดยังถูกใช้เพื่อรักษาโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง
Robotic Surgery เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดได้แม่นยำยิ่งขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น Robotic Surgery ยังคงมีการพัฒนาอยู่ แต่มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นส่วนสำคัญของการผ่าตัดในอนาคต ซึ่งหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพที่จะปฏิวัติการผ่าตัด การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดสามารถช่วยให้ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดได้แม่นยำยิ่งขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ของการผ่าตัดที่ดีขึ้นและความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่ลดลง
ข้อดีของการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด
- แม่นยำยิ่งขึ้น เพิ่มความปลอดภัยการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ระยะเวลาในการผ่าตัดสั้นกว่า
- ปลอดภัยยิ่งขึ้น ลดภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัดลง
- ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลสั้นกว่า
- เจ็บปวดน้อยลง สูญเสียเลือดระหว่างผ่าตัดน้อยลง
- ผลลัพธ์ของการผ่าตัดดีขึ้น ให้ผลสำเร็จการผ่าตัดรักษาดีกว่า
ข้อเสียของการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด
- ราคาแพง
- ต้องมีการฝึกอบรมเพิ่มเติม
- อาจเกิดปัญหาทางเทคนิคได้
โรคที่สามารถใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด
1. โรคทางเดินปัสสาวะ เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งไต มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น
2. โรคทางระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร เป็นต้น
3. โรคระบบนรีเวช เช่น มะเร็งมดลูก การผ่าตัดเนื้องอกมดลูก เป็นต้น
4. โรคระบบหัวใจ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด
5. โรคระบบหู คอ จมูก เช่น การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ภายใต้กล้อง