ในภาวะตลาดเศรษฐกิจไทยขาขึ้นที่คาดว่าปีนี้จะเติบโตกว่า 4% นั้น งานเครื่องสำอางโลก IFSCC CONFERENCE ที่ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์แซงหน้าหลาย ๆ ประเทศ จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางเปิดประตูการค้าธุรกิจและอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและสุขภาพความงามของไทยสู่โอกาสใหม่ ๆ ในตลาดประชาคมอาเซียน และตลาดโลก ผลวิจัยนวัตกรรมด้านเครื่องสำอางสุขภาพ ความงามจากทั่วโลกส่งเข้ามาเสนอในงานนี้เกินเป้าถึงกว่า 200 ชิ้น สมาคมนักเคมีเครื่องสำอางแห่งประเทศไทย เผยเทรนด์แนวโน้มเครื่องสำอาง และบริการเสริมสุขภาพความงามสุดฮอตที่จะสร้างเม็ดเงินรองรับไลฟ์สไตล์ ผู้บริโภค
รศ.ดร.พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์ ( Dr.Panvipa Krisdaphong )คนไทยคนแรกที่ได้รับเกียรติเป็น ประธานจัดงานเครื่องสำอางโลก IFSCC 2011 CONFERENCE และนายกสมาคมนักเคมีเครื่องสำอางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ IFSCC (International Federation of Societies of Cosmetics Chemists ) หรือ สมาพันธ์นักเคมีเครื่องสำอางนานาชาติ เป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานวัตกรรม เทรนด์แนวโน้มเครื่องสำอาง ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเครื่องสำอางจากประเทศต่างๆทุกมุมโลก มีจุดเริ่มต้นในปี1956 ณ เมืองปารีส ซึ่งเป็นศูนย์กลางแฟชั่นและเครื่องสำอางโลก และต่อมาได้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในปี 1959 ณ เมืองบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยม ปัจจุบัน IFSCC มีสมาชิกเข้าร่วม 47 สมาคม มีประเทศเข้าร่วม 58 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย มีจำนวนสมาชิกกว่า 15,000 คนทั่วโลก กิจกรรมเด่นประจำทุกปีซึ่งเวียนจัดในประเทศที่ได้รับการพิจารณาถึงศักยภาพ คืองานประชุมวิชาการระหว่างประเทศ หรืองานเครื่องสำอางโลก IFSCC 2011 CONFERENCE จึงนับเป็นความภาคภูมิใจที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพครั้งแรกในประวัติศาสตร์และเป็นประกาศศักยภาพของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและสุขภาพความงามบนเวทีโลก ตลอดจนความพร้อมสู่การเป็นบิวตี้ฮับแห่งเอเชีย
งานเครื่องสำอางโลก IFSCC 2011 CONFERENCE จัดโดย สมาคมนักเคมีเครื่องสำอางแห่งประเทศไทย สนับสนุนโดยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กรมส่งเสริมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไฮไลท์ของงาน IFSCC 2011 CONFERENCE มี 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1. การนำเสนอนวัตกรรมจากงานวิจัยจากทั่วโลก โดยมีทั้งโปสเตอร์และการบรรยาย การจัดเวิร์คช้อปให้คำแนะนำวิธี การและขั้นตอนการจดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนที่ 2 การจับคู่เจรจาธุรกิจ โดยกรมส่งเสริมการค้าต่างประเทศเป็นผู้สนับสนุน ส่วนที่ 3 เป็นบูธ Beauty Week แสดงสินค้าเครื่องสำอางและสุขภาพความงาม เวทีอีเว้นท์เปิดโลกความงามและสุขภาพ การเสวนาให้ความรู้และสาธิตโดยผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา การแสดงแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นพิเศษ 10 Herbal Fashion ซึ่งโซนนี้เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีที่ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 22
ด้านเทรนด์นวัตกรรมเครื่องสำอาง รศ.ดร.พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์ ประธานจัดงานเครื่องสำอางโลก กล่าวว่า “ เทรนด์เครื่องสำอางที่ดีและโดนใจผู้บริโภคจะต้องมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนทั้งทางด้านประสิทธิภาพ ราคาประหยัด และเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม ซึ่งความนิยมของการใช้เครื่องสำอางในปัจจุบัน จะเน้นในแง่ของการพัฒนามาจากธรรมชาติมากกว่าจะเป็นสารสังเคราะห์ เพราะสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ ปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้เหมาะสมและเฉพาะเจาะจงกับผู้ใช้แต่ละคนให้มากขึ้น (Customized Label หรือ Private Label) คือเป็นการพัฒนาเครื่องสำอางสำหรับผู้ใช้เฉพาะเจาะจงกับแต่ละบุคคลมากขึ้น เช่น ต้องมีการตรวจสอบสภาพผิวและทำการวิเคราะห์ผิวของแต่ละคนว่าควรมีการเพิ่มเติมสารชนิดใดลงในผลิตภัณฑ์ให้เพิ่มขึ้น เพื่อให้เครื่องสำอางนั้นให้ประสิทธิภาพต่อผู้ใช้สูงสุด มีการนำเอาสารสำคัญใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น สเต็มม์เซล, เป็ปไทส์, สารกลุ่มไบโอเทคโนโลยี ฯลฯ มาใช้พัฒนาในเครื่องสำอาง ซึ่งจะสามารถสัมผัส และทดสอบได้ในงานเครื่องสำอางโลกเป็นครั้งแรก
ประธานจัดงานเครื่องสำอางโลก กล่าวถึงผลงานวิจัยเวชสำอางว่า “ผลงานวิจัยจากมะหาด (Artocarpus lakoocha Roxb) ซึ่งเป็นพืชไทยที่พบมากในภาคเหนือ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เป็นอีกหนึ่งผลงานวิจัยเวชสำอางโดยนำแก่นมะหาดมาสกัดเป็นสารที่มีคุณสมบัติลดสีผิว และช่วยทำให้ผิวขาว มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับกลไกการออกฤทธิ์ ทั้งนี้สารที่ทำให้เกิดผิวขาว หรือไวเทนนิ่งที่นิยมใช้มากที่สุดคือ สารขจัดสีผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนส (Tyrosinase) ซึ่งเอ็นไซม์ชนิดนี้ เป็นสารสำคัญสำหรับการสร้างสีผิวสีเมลานิน ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาตั้งต้นของกระบวนการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน (Melanin) ของผิวหนังช่วยลดความเข้มของสีผิว ช่วยลดเลือนจุดด่างดำ จึงสามารถทำให้ผิวดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและดูกระจ่างใสและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง สามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทาผิวที่ช่วยให้ผิวหน้า และ ผิวพรรณมีความกระจ่างใสขึ้น และยังสามารถใช้ได้ต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่ก่อให้เกิดอาการข้างเคียง”
ผลงานวิจัยจาก เหงือกปลาหมอ (Acanthus ebracteatus Vahl, Acanthus ilicifolius Linn)
เหงือกปลาหมอเป็นไม้พุ่มที่พบในบริเวณที่มีน้ำชุ่ม มี 2 ชนิด คือ ชนิดดอกสีขาว และ ชนิดดอกสีม่วง ใบของเหงือกปลาหมอมีส่วนประกอบของสารแอนโทไซยานิน สามารถให้สรรพคุณลดอาการอักเสบ แก้คัน ช่วยสมานแผล และ ลดอาการร่วงของเส้นผมได้ดี จึงสามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้บำรุงเส้นผม ลดการร่วงของเส้นผม โลชั่นใส่ผม หรือ Hair Tonic ได้
ผลงานวิจัยจากบวบหอม (Luffa cylindrica (Linn)) บวบหอมเป็นไม้เลื้อยที่ขึ้นได้ง่าย ปลูกได้ทั่วไปไม่ว่าจะอยู่ในภูมิอากาศเช่นใด ส่วนของผลบวบ (Luffa) จะประกอบด้วยสารสำคัญ คือ คูเคอร์บิตาซิน และ กรดลิโนลิอิค ที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นกับผิวช่วยให้ผิวนุ่มนวล กระชับรูขุมขน และทำให้ผิวนุ่มลื่น จึงสามารถนำเอาสารสกัดจากบวบหอมมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทาบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระชับผิวให้ความชุ่มชื้นกับผิว และ ผลิตภัณฑ์ปรับสภาพผิว สามารถทาต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับผิว
ในงานเครื่องสำอางโลก IFSCC 2011 CONFERENCE นี้ ยังมีสีสันนวัตกรรมสุขภาพและความงามจากธรรมชาติและพันธุ์พฤกษาไทยอีกมากที่สามารถจะไปศึกษา และทดสอบได้ในงานนี้ ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. -2 พ.ย.2554 นับเป็นโอกาสสำคัญที่เครื่องสำอางและพืชสมุนไพรของไทย ได้แสดงศักยภาพบนเวทีระดับโลก
ผู้สนใจ แวะเว็บไซต์ ifscc.com โทรสอบถาม 089-667-4144
PR AGENCY : บ.เบรนเอเซีย คอมมิวนิเคชั่น จำกัด
Tel. : 081-899-3599, 02-911-3282 (5 Auto Lines)
Email : brainasiapr@hotmail.com