
แฉ “ทวิช” ดิสเครดิตหมอวิชัย
หวังเดินแผนฮุบกิจการไอเฟค
“ทวิช”ล้มข้อตกลงที่ประชุมกรรมการ มุ่งให้ข่าวกระทบบริษัทแฉเบื้องหลังเดินหน้าดิสเครดิต หมอวิชัย ดันแผนฮุบกิจการต่อ
เบื้องหลังทวิช เตชะนาวากุล เริ่มให้ข่าวที่มีผลกระทบกับบริษัทไอเฟค ทั้งที่การประชุมกรรมการเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้มีข้อตกลงกันว่าจะไม่มีการให้ข่าวผ่านสื่อมวลชน เพื่อร่วมกันเดินหน้ากิจการต่อไป แต่ล่าสุดนายทวิช เผยแพร่ข่าวว่าได้ยื่นฟ้องนายแพทย์วิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ว่านายแพทย์วิชัย ทำผิดกฎหมาย และทำให้บริษัทเสียหาย ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง
ทั้งนี้ที่ผ่านมานายแพทย์วิชัย พยายามแก้ปัญหาบริษัทจากที่ทีมบริหารชุดเก่าสร้างไว้ โดยเฉพาะหนี้สินของบริษัท ขณะที่ด้านนายทวิช ไม่เคยมีแผนชัดเจนว่าจะแก้ปัญหาหนี้สินอย่างไร และออกข่าวโจมตีบริษัทอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้นายแพทย์วิชัย ยังพยายามเดินบริษัทตามกรอบกฎหมายและเร่งแก้ไขการบริหารที่ติดขัด ทั้งเรื่องกำหนดวันประชุมวิสามัญ การประชุมกรรมการบริหารบริษัท แต่นายทวิช กลับพยายามดึงเรื่องเพื่อไม่ให้การบริหารเป็นไปตามที่นายแพทย์วิชัยต้องการ
จากการวิเคราะห์เป็นไปได้ว่า นายทวิช เดินหน้าตามแผนดิสเครดิตนายแพทย์วิชัย ซึ่งนั่งเป็นกำแพงไม่ให้นายทวิช และพวก เข้ามาฮุบกิจการได้ตามความต้องการ
ก่อนหน้านี้ไอเฟค ได้ฟ้องต่อศาลอาญารัชดา ได้ประทับรับฟ้องกรณี นายทวิช เตชะนาวากุล และพวก ประกอบด้วย นายเทพฤทธิ์ เตชะนาวากุล นางกนกวรรณ พรทรัพย์อนันต์ นายสิทธิชัย พรทรัพย์อนันต์ และนายแชมป์ ศรีโชคชัย ร่วมกันครอบงำกิจการไอเฟค โดยผิดกฎหมาย ตามคดีหมายเลขดำที่1067ศาลนัดไตร่สวน วันที่ 9 ตุลาคม 2560
สำหรับพฤติกรรมของจำเลย กล่าวคือ เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2559 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 จำเลยและพวกกระทำผิดกฎหมาย โดยได้มาซึ่งหลักทรัพย์หรือร่วมกันกับพวกถือหุ้นในไอเฟค เพื่อครอบงำกิจการ
โดยจากการตรวจสอบเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2559 นายทวิช ถือหุ้นไอเฟค 101.53 ล้านหุ้น หรือ 5.12% ของหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ หรือจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมด
ส่วนนายเทพฤทธิ์ ถือหุ้น 101.08 ล้านหุ้น หรือ 5.10% ขณะที่ นางกนกวรรณ ถือหุ้น 71.99 ล้านหุ้น หรือ 3.63% และนายแชมป์ ถือหุ้น 16.80 ล้านหุ้น หรือ 0.85% ขณะที่นายสิทธิชัย ล่าสุดไม่ได้ถือหุ้นไอเฟค และได้ลาออกจากเป็นกรรมการบริษัท
อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์การครอบงำกิจการโดยผิดกฎหมาย คือ กลุ่มบุคคลมีพฤติกรรมเกี่ยวพันกันเจตนาเข้าบริหารกิจการบริษัทโดยไม่สุจริต ซึ่งกลุ่มบุคคลที่ถูกบริษัทไอเฟคฟ้อง ได้ร่วมกับบุคคลอื่นจำนวนหนึ่ง คิดเป็นสัดส่วนหุ้นรวมกันกว่า 25% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดโดยปิดบังข้อมูล และต้องการเข้ามาครอบงำกิจการไอเฟค
นอกจากนี้ เมื่อเดือน ธ.ค. 2559นายทวิช และบุคคลอื่น ยังได้ลงชื่อในหนังสือแจ้งไปยังไอเฟค มีเนื้อหาขอให้ทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารของบริษัท โดยเฉพาะตำแหน่งประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ รวมทั้งคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อให้กลุ่มนายทวิช 5 คนเข้ามาเป็นกรรมการแทน และในหนังสือยังระบุให้ไอเฟคชะลอดำเนินการทางธุรกิจ ห้ามเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับบริหารไว้ชั่วคราวอีกด้วย
ขณะเดียวกัน นายทวิช ยังได้ทำหนังสือลงชื่อถึงไอเฟค และยอมรับผ่านสื่อมวลชนว่า ตนเองกับพวกผู้ถือหุ้นในไอเฟครวมกันกว่า 500 ล้านหุ้น หรือประมาณ 25.20% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งเข้าข่ายการครอบงำกิจการ พร้อมออกข่าวว่าได้แจ้งขอให้ไอเฟคจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารอีกด้วย
โดยเมื่อปี 2559 ยังพบพฤติกรรมของนายแชมป์ และนายสิทธิชัย ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ด้วย ได้ลาออกจากไอเฟคเป็นผลให้บริษัทมีกรรมการไม่ครบ และเพื่อให้มีการเปิดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เปิดทางให้กลุ่มนายทวิช เข้าครอบงำกิจการอีกด้วย
ดังนั้นการกระทำของกลุ่มนายทวิช เข้าข่ายการถือหุ้นร่วมกันโดยมีเจตนาเพื่อครอบงำกิจการของไอเฟค ซึ่งเข้าเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต้องตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นจากรายย่อย หรือทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ ตามเกณฑ์ที่กฎหมายและตามระยะเวลาที่ก.ล.ต.กำหนด
นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมที่ต้องการฮุบกิจการอื่นๆอีก เช่น หลังจากเข้าเป็นกรรมการบริษัทแล้ว ยังพยายามทำทุกอย่างไม่ให้บริษัทเดินหน้าได้ เช่นการไปยื่นขอจดแจ้งกรรมการใหม่บริษัท ทั้งที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ทำให้บริษัทจนการประชุมกรรมการล่าช้า
ทั้งนี้ไอเฟค ได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายทวิช กรณีข้างต้น ในข้อหาให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ยื่นจดทะเบียนกรรมการบริษัทไม่ถูกต้องและอาจทำให้บริษัทเสียหาย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.รัตนาธิเบศร์ ได้เรียกให้ปากคำครั้งแรกเมื่อวันที่ 11เมษายน ที่ผ่านมาซึ่งนายทวิชไม่ได้เดินทางมาให้ปากคำ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกหมายเรียกอีกภายในสัปดาห์นี้