กระทรวงพลังงาน เตรียมพัฒนาระบบไฟฟ้าสำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ รองรับการลงทุนในกิจการไฟฟ้า

FLASH SALE
ฝากข่าว โดย :

กระทรวงพลังงาน ขานรับแนวทางเตรียมพัฒนาระบบไฟฟ้าสำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ รองรับการลงทุนในกิจการไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน

กระทรวงพลังงาน กฟผ. กฟน.และ PEA ร่วมจัดทำแผนระบบไฟฟ้ารองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่คาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพิ่มขึ้นถึง 465 เมกะวัตต์ รองรับแนวคิดในการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน

นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะทำงานจัดทำแผนงานพัฒนาระบบไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ร่วมกับ 3 การไฟฟ้า คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ได้ร่วมกันจัดทำ “แผนพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” ซึ่งถือว่าเป็นตัวชี้วัดงานของทั้ง 4 หน่วยงานในปี 2558 นี้

โดยแผนงานดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.การขับเคลื่อนโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid, APG) ได้แก่ การก่อสร้างระบบสายส่งแรงสูงขนาด 500 กิโลโวลต์ เพื่อเพิ่มความสามารถของระบบสายส่งไฟฟ้าให้เกิด ความคล่องตัว และเกิดการเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทย กับประเทศเพื่อนบ้าน 2.การพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone : SEZ) ซึ่งจำเป็นต้องมีสายส่งแรงสูง ทั้งระบบ 230 กิโลโวลต์ และ 115 กิโลโวลต์ และระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในบางพื้นที่ เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตของระบบเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยระยะแรกมีจำนวน 6 พื้นที่ ได้แก่ 1) อ.แม่สอด จ.ตาก 2) อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว 3) อ.คลองใหญ่ จ.ตราด 4) อ.เมือง จ.มุกดาหาร 5) อ.สะเดา จ.สงขลา 6) อ.เมือง จ.หนองคาย

นอกจากนี้ ในแผนดังกล่าวได้ประมาณการรวมไปถึงแนวทางการพัฒนาสายส่งที่จำเป็นต้องเชื่อมโยงไปยังเมืองคู่แฝดทางประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรองรับการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศ โดยจะต้องมีการศึกษา และพิจารณาถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ของการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศผ่านโครงข่ายที่มีอยู่เดิมของประเทศ รวมถึงวางแผนก่อสร้างสายส่งเชื่อมโยงระหว่างเมืองคู่แฝด อาทิ จากแม่สอด ไปยังเมืองเหมียววดี (หรือไปยัง ผาอ้น) ประเทศเมียนมา, จากหนองคาย ไปยัง นครหลวงเวียงจันทร์, จากคลองใหญ่ ไปยังจังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา เป็นต้น

ทั้งนี้ ในส่วนของระบบผลิตไฟฟ้านั้น สนพ. รับทราบว่ามีเอกชนที่ให้ความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้น ทางกระทรวงพลังงานเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับแนวทางดังกล่าว โดยนอกจากความพร้อมในด้านระบบสายส่งแล้ว ในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ที่จะต้องพัฒนาให้เข้าสู่ระบบใหม่ให้เป็นรูปแบบประเภทสัญญา Firm Contract (เป็นสัญญาที่มีข้อกำหนดระยะเวลา ปริมาณซื้อขายที่แน่นอน) และอาจเป็นระบบแบบผสมผสาน (Hybrid) ที่สามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้ว ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้า ลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล และถ้าประเทศไทยมีไฟฟ้าเหลือในบางเวลา อาจสามารถขายไฟส่วนที่เหลือไปยังประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ที่ยังมีความต้องการไฟฟ้าสูง หรือไปยังเมืองคู่แฝดในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่เป็นระบบประเภทสัญญา Non-Firm Contact (เป็นสัญญาที่ไม่มีข้อกำหนดระยะเวลา ปริมาณซื้อขายที่แน่นอน) เสี่ยงต่อการไฟตกไฟดับ และถ้าหากมีเขตเศรษฐกิจพิเศษเกิดขึ้น ต้องมีการปรับปรุงระบบสายส่งไฟฟ้าให้ได้ภายในปี 2565 เพื่อรองรับการลงทุนในระบบผลิตไฟฟ้าให้ทันกับการขยายตัวของเขตเศรษฐกิจพิเศษ

ตารางแสดงการเปรียบเทียบความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดกรณีมีเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ณ ปี พ.ศ. 2574
**หมายเหตุ : MW = เมกะวัตต์

“จากความร่วมมือระหว่าง สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ร่วมกับ 3 การไฟฟ้า เพื่อต้องการสร้างระบบไฟฟ้าให้เกิดความมั่นคง และสามารถรองรับการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน ให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ”  ผอ.สนพ. กล่าว.